01.08.18



คอร์สเรียนภาษาอังกฤษระยะสั้นที่เมืองบาธ ประเทศอังกฤษ



“ซัมเมอร์ประเทศอังกฤษที่เมืองบาธ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าปลอดภัยที่สุด”







การเรียนภาษาอังกฤษระยะสั้นในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนนั้น เป็นที่นิยมของเด็กๆ และผู้ปกครองมานานมากแล้ว โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่มีอายุ 10 ปีขึ้นไป ถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ทำให้เด็กๆได้เรียนรู้วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนชาติต่างๆ ทำให้เด็กมีความรับผิดชอบมากขึ้น รู้จักช่วยตัวเอง พร้อมทั้งมีการตัดสินใจหลายๆอย่างได้ด้วยตัวเอง สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ก็จะได้ลูกคนใหม่ที่เติบโตขึ้น มีวุฒิภาวะและเติบโตทั้งด้าน IQ และ EQ คุณพ่อตุณแม่ส่วนมากเมื่อเริ่มต้นให้ลูกไปสักครั้งหนึ่งแล้ว มักให้ลูกไปอีกเรื่อยๆ ตามแต่เวลาจะอำนวย นอกจากนั้น บางครอบครัวต้องการส่งลูกๆไปเรียนต่างประเทศ การไปเรียนซัมเมอร์ก็เปรียบเสมือนการเตรียมตัวเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสปรับตัว และเคยชินกับประสบการณ์ในประเทศต่างๆ ซึ่งพบว่าเด็กที่ไปเรียนภาษาอังกฤษระยะสั้นจะมีการปรับตัวได้ดีกว่า และกล้าแสดงออกมากกว่า





อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญ คือ การเลือกสถาบันที่จัดคอร์สการเรียนระยะสั้นแบบนี้ ซึ่งมีอยู่มากมายไปหมดในท้องตลาด เรามีหลักเกณฑ์เลือกอย่างไรบ้าง

  • • เป็นสมาชิกของชมรมการศึกษาต่อต่างประเทศ เป็นสมาชิกของททท. เป็นตัวแทนของสถาบันในต่างประเทศหลากหลาย และได้รับการรับรองจากประเทศต่างๆ เช่น British Council, Study New Zealand
  • • เป็นสถาบันที่เปิดมายาวนาน และมีความเชี่ยวชาญในการจัดคอร์สระยะสั้นแบบนี้ โดยดูได้จาก ประสบการณ์ที่ผ่านมา และเสียงตอบรับจากนักเรียนเป็นอย่างดี
  • • เป็นบริษัทที้เปิดดำเนินการมายาวนาน ไม่เคยมีประวัติเสียหาย
  • • มีครูพี่เลี้ยงที่มากด้วยประสบการณ์ แลสามารถะรายงานความเป็นอยู่ของเด็กๆ ให้ผู้ปกครองทราบตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็สามารถดูแลเด็กๆ ในด้านความเป็นอยู่ และความปลอดภัยไปพร้อมกัน

เรามีเสียงตอบรับจากน้องๆและผู้ปกครอง ที่ตัดสินใจมอบความไว้วางใจให้บริษัท ไอดีล เอ็ดดูเคชัน จำกัด ในการไปเรียนภาษาอังกฤษระยะสั้นกับเราที่ประเทศอังกฤษมาฝาก







คุณแม่ของน้อง NJ บอกกับเราว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ตัดสินใจส่งบุตรชายไปเรียนต่างประเทศ โดยเลือกความไว้วางใจให้กับบริษัท ไอดีลเอ็ดดูเคชัน จำกัด และการไปเรียนครั้งนี้เป็นครั้งแรกของ น้อง NJ โดยน้องเรียน English Program (EP) อยู่ที่โรงเรียนอยู่แล้ว แต่คุณแม่คิว่า การไปเรียนภาษาอังกฤษในปรเทศที่เป็นเจ้าของภาษาน่าจะให้อะไรกับน้องมากกว่า ซึ่งเมื่อไปเรียนแล้ว น้อง NJ ก็พบว่าคุณครูในห้องเรียนให้ความเอาใจใส่ และมีความใกล้ชิดกับนักเรียนมาก แทบจะเรียกได้ว่า เป็นการเรียนการสอนส่วนตัวเลยทีเดียว เมื่อน้อง NJ กลับมาเมืองไทย คุณพ่อคุณแม่ของน้องก็รู้สึกอุ่นใจที่จะส่งน้องไปเรียนต่อระยะยาวที่ประเทศนิวซีแลนด์ต่อ โดยไปอาศัยกับญาติที่อยู่ที่นิวซีแลนด์ต่อไป





น้องอีกคนหนึ่ง คือ น้องหมีพูห์ ซึ่งบอกว่า ก่อนไปน้องก็เรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งอยู่ในกลุ่มกลางๆ เมื่อไปเรียนที่ประเทศอังกฤษแล้วน้องคิดว่า น้องมีความมั่นใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษมากขึ้น มีความมั่นใจในการติดต่อ สื่อสารกับเจ้าของภาษาตลอดเวลา ก่อนไปน้องก็จะติดนิสัยสบายๆ แต่เมื่อไปเรียนกลับมาน้องก็พบว่า ภาษาอังกฤษที่สอนอยู่ในโรงเรียนไทย กับภาษาอังกฤษที่พบในประเทศอังกฤษนั้นค่อนข้างต่างกัน ที่ประเทศอังกฤษ น้องต้องอยู่ในบรรยากาศที่ต้องฟัง พูด อ่าน เขียนเป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลา ต้องมีความตื่นตัว และกล้าแสดงออก พร้อมกันนั้นน้องก็พบว่าวัฒนธรรมของชาวอังกฤษนั้นแตกต่างจากบ้านเรา จะเน้นให้เด็กเรียนรู้และรับผิดชอบตัวเอง เช่นเวลากลับบ้าน เวลาทานอาหาร เด็กต้องรับผิดชอบที่จะมาให้ตรงเวลา หากต้องการกลับบ้านช้ากว่าเวลาที่กำหนด ก็ต้องแจ้งทางโฮสก่อน เพื่อที่ทางเจ้าของบ้านจะได้ไม่ต้องเตรียมอาหารเผื่อเป็นต้น การไปเรียนนั้นแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ตัวเองมีระเบียบวินัยมากขึ้น มีความรับผิดชอบในตัวเองมากขึ้น เช่นเวลาตื่นนอนก็จะมีวินัยในการตื่นตรงต่อเวลามากขึ้น ในอนาคต น้องก็วางแผนไว้ว่าอยากไปเรียนต่อระยะยาวที่ต่างประเทศ และตอนนี้น้องไม่รู้สึกกังวลในการต้องจากครอบครัวไปเรียนต่อแล้วค่ะ





สำหรับน้องพีท การไปเรียนครั้งนี้น้องสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของการเรียนในเมืองไทยและที่อังกฤษอย่างชัดเจน คลาสในเมืองไทยนั้นมีนักเรียน 30 คนต่อครู 1 คน ทำอย่างไรก็ไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง แต่การเรียนการสอนที่ประเทศอังกฤษนั้น มีความเป็นส่วนตัวมาก เนื่องจากเป็นชั้นเรียนขนาดเล็กคุณครูก็สามารถเอาใจใส่นักเรียนได้ทั่วถึง ทำให้น้องพีท กล้าพูดกล้าตัดสินใจมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นนั่นเอง ถ้ามีโอกาสน้องพีทก็อยากจะไปเรียนแบบนี้อีก โดยอาจเลือกไปประเทศอื่นๆ เช่น แคนาดา หรือนิวซีแลนด์ และเริ่มปรึกษาคุณพ่อ คุณแม่สำหรับการไปเรียนต่อระยะยาวที่ต่างประเทศในอนาคต





น้องฟินแลนด์เองเคยไปซัมเมอร์ที่เมืองมอนทรีออล ในประเทศแคนาดามาก่อน ซึ่งต้องประสบอากาศที่หนาวเย็นถึง -20 องศาทีเดียว เมื่อไปกับโปรแกรมบาธ น้อง ประทับใจกับการได้ไปอยู่กับโฮสแฟมิลี่ เนื่องจากรู้สึกว่าโฮสแฟมิลี่เอาใจใส่ และมีพาเด็กๆ ไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ตลอดจนครูพี่เลี้ยงซึ่งไปอยู่กับเด็กๆ จนถึงวันกลับ น้องบอกกับเราว่าหากเป็นไปได้ก็อยากไปประเทศอื่นๆบ้าง ก่อนจะตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไปเรียนระยะยาวหรือไม่ ทางด้านผู้ปกครองสนับสนุนให้น้องตัดสินใจเอง น้องบอกกับเราว่าที่โรงเรียนของน้องมี 3 ทางเลือกให้นักเรียน คือ 1 เรียนภาษาไทย และสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามปรกติ 2 EP Program ซึ่งเน้นเรียนภาษาอังกฤษที่โรงเรียน และสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มี EP ในประเทศไทย และ 3 คือการเรียนการสอนแบบแลกปลี่ยน โดยการเรียนในเมืองไทย 1 ปี และเรียนที่แคนาดาอีก 1 ปี เหมือนโปรแกรมแลกเปลี่ยน แต่ราคาค่อนข้างสูง Finland คิดว่าหากจะไปเรียนแคนาดาคงหาทางไปเองโดยใช้บริษัทแนะแนวในการรับคำปรึกษา







ส่วนน้องนุชสุดท้องที่อายุน้อยที่สุดและเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว คือ น้องอัยย์ น้องอัยย์อยากไปเรียนภาคฤดูร้อนกับโรงเรียนและเพื่อนๆที่ลอนดอน แต่ในตอนนั้นน้องยังอายุไม่ถึง (น้องอายุน้อยกว่าเพื่อนๆ ในห้องเรียน) ดังนั้น เมื่อสบโอกาสน้องจึงเลือกไปโปรแกรมบาธ น้องชอบโปรแกรมนี้เพราะคยุณครูพี่เลี้ยงเอาใจใส่น้องอย่างใกล้ชิดทำให้น้องไม่กังวล นอกจากนั้นน้องประทับใจการเรียนการสอนที่ประเทศอังกฤษ เพราะสอนให้เด็กคิด และพบกับประสบการณ์ตรง มีการลงมือทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง กิจกรรมที่น้องชอบมากที่สุดคือ การไปชม Bristal Zoo หรือวันที่เป็น Sport Day น้องอัยย์ไม่กลัวการเดินทางออกนอกประเทศด้วยตัวเองอีกต่อไป อาจจะมีคิดถึงคุณพ่อคุณแม่บ้างในช่วงแรกๆ แต่ก็ดีขึ้น เพราะการได้พบประสบการณ์และเพื่อนใหม่ๆนั่นเอง